

นางอังคณา ได้มีการออกมาตอบโต้ถึงประเด็นดังกล่าวว่าอยากจะแนะนำให้ลองไปอ่านรายงานของผู้เชี่ยวชาญสหประชาชาติ ด้านการต่อต้านการทรมาน ที่ได้ทำรายงาน วิจัยศึกษาเอาไว้เรื่องการทรมานทางจิตวิทยา ที่ระบุไว้ว่าการทำให้เหยื่อสูญเสียอำนาจ หรือการทำอะไรไม่ได้เลย อยู่ในสภาวะที่ไม่สามารถหนีไปจากสภาพนั้นได้ เพื่อให้สิ่งนั้น ยุติลงได้ หรือเป็นการกระทำที่ไม่ได้เกิดจากความบังเอิญและเป็นความตั้งใจที่ต้องการให้เกิดขึ้น จนทำให้เกิดความกดดันในจิตใจซึ่งทั้งหมดนี้มีหลักเกณฑ์อยู่

ทางคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนของกัมพูชาจึงได้หยิบยกเรื่องดังกล่าว ร้องเรียนไปยังข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ โดยส่วนตัวก็ทำงานด้านนี้มาโดยตลอด และได้อ่านรายงานฉบับดังกล่าวแล้ว จึงได้ตั้งคำถามว่า เป็นการเข้าข่ายด้านสิทธิมนุษยชนหรือไม่ และเรื่องนี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทย ก็ต้องไปชี้แจงในเวทีระหว่างประเทศ

ส่วนที่มาบอกว่า คนไทยใจเขมร มองว่า ใครอยากจะพูดอะไรก็พูดได้ แต่สิ่งที่ตนทำไปคือความปรารถนาดีต่อประเทศไทย เพราะตนเองก็เป็นคนไทยที่รักชาติ ไม่น้อยไปกว่าใคร แต่เลือกที่จะเตือน และกล้าที่จะเตือน ในสิ่งที่ตนเองเชื่อมั่นว่า ถูกต้อง และไม่อยากให้ประเทศไทยเสียหน้าในเวทีระหว่างประเทศ
ขณะที่ช่วงที่ผ่านมาโดนดราม่าถล่ม และจะมีการล่ารายชื่อเพื่อถอดถอนออกจาก สว.นั้น นางอังคณา ยืนยันว่า เรื่องล่ารายชื่อถอดถอน สว. ไม่สามารถทำได้ เพราะว่ารัฐธรรมนูญไม่เปิดช่องให้แต่ว่าช่วงนี้อยู่ในช่วงเวลากำลังจะแก้ไข รัฐธรรมนูญ ก็ขอให้ช่วยกันแก้ไขรัฐธรรมนูญ หากอยากจะได้อะไรก็เสนอกันมา
ถามว่า ท้อหรือไม่ ก็ธรรมดา เพราะคนทำงานสิทธิมนุษยชน ทั่วโลก ก็จะเจอปัญหาแบบนี้ เพราะเราต้องมีคนที่กล้าที่จะออกมาเตือนตรง ๆ ซึ่งส่วนตัวไม่อยากให้ประเทศไทยไปเจอ กับคำถามอะไรบ้า ๆ แบบนี้ ในเวทีระดับประเทศ เช่น รถดูด ส้วม จะเอาอุจจาระไปปาใส่ หรือการเปิดเสียงซาวด์หลอน ซึ่งในฐานะที่มีประสบการณ์เรื่องพวกนี้ ก็พยายามที่จะติง แต่ถ้าหากไม่ฟัง ก็คงสุดแท้แต่
